ผลประโยชน์สาธารณะ : ค่านิยมหลักของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ

             
          สังคม ไทยในปัจจุบัน  เป็นยุคที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการมีคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหารของ นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหานานาประการ ที่คนในสังคมต่างตั้งข้อสังเกตว่าล้วนเป็นผลมาจากการขาดคุณธรรมและจริยธรรม  ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในการบริหารประเทศ  นอกจากนี้ ในอีกแง่มุมหนึ่ง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจากกรณีตัวอย่างหลาย ๆ กรณีนั้นพบว่า ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเองซึ่งควรมีบทบาทหน้าที่ในการเป็นเสมือนผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนหรือปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ สาธารณะ (Public Interest) กลับเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งที่สนับสนุนให้นักการเมืองสามารถดำเนินการแสวง หาผลประโยชน์ส่วนตนโดยการคอร์รัปชั่น และพัฒนาการสู่การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่าง ๆ ของรัฐได้โดยง่ายเสียเอง จากประเด็นปัญหาดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศตลอดจนมิอาจทำให้การนำ หลักการบริหารด้วยแนวคิด “การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance)” มาใช้นั้นสามารถบรรลุตามเจตนารมณ์ได้
              นอกจากบริบทภายในสังคมไทยเองที่เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมและ จริยธรรมของ นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเนื่องจากต้องเผชิญกับสภาพปัญหาดังกล่าวมาหลายทศวรรษ ในแวดวงของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในระดับสากลก็ได้เล็ง เห็นถึงถึงความสำคัญของการที่เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องหวนกลับมาคำนึงถึงการมี คุณธรรมและจริยธรรมในการบริหารมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทความ “คำประกาศแห่งเมืองแบล็กเบอร์ก: ความเคลื่อนไหวในแวดวงการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์อเมริกัน” ซึ่งได้กล่าวถึงแนวคิดของกลุ่มนักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์และนโยบาย สาธารณะ แห่งสำนัก Virginia Polytechnic Institute and State University  ซึ่งจุดเน้นของคำประกาศฯ มีอยู่ว่า ผู้บริหารงานในภาครัฐ ควรคำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหาร โดยยึดถือ“ผลประโยชน์สาธารณะ“เป็นค่านิยมพื้นฐานในการตัดสินใจ เนื่องจากการตัดสินใจกระทำการใดๆ ของผู้บริหารงานในภาครัฐ ย่อมส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง หรือไม่ก็กระทบต่อผลประโยชน์ของคนจำนวนหนึ่งและเอื้อประโยชน์ต่อคนอีกจำนวนหนึ่ง (ซี่งอาจเป็นประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องดังเช่นกรณีของประเทศไทย) ดังนั้น  ค่านิยมเรื่อง “ผลประโยชน์สาธารณะ” ซึ่งอาจให้ความหมายได้โดยง่ายว่า การตัดสินใจและการปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งตอบสนองต่อความต้องการและยึดถือผล ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักนั้น อาจช่วยให้ผู้บริหารงานในภาครัฐสามารถใช้เป็นเครื่องนำทางในความประพฤติและ แนวทางการบริหารงานของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลาง  สถานการณ์ของสังคมยุค เปลี่ยนผ่าน และมีความไม่แน่นอนสูงได้
              ด้วยบริบทของสังคมภายในประเทศที่ต้องการเห็นการพัฒนาทางการเมืองและการบริหาร และจุดเน้นแนวคิดเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหารงานของการบริหารรัฐกิจ ในระดับสากลนั้น สภาพัฒนาการเมือง จึงเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ การทำหน้าที่ในการ “ส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรม และจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ” (มาตรา 5 พรบ.สภาพัฒนาการเมือง พ.ศ.2551)  ซึ่งการทำหน้าที่ในประเด็นดังกล่าว สภาพัฒนาการเมืองต้องดำเนินการ “ส่ง เสริมการพัฒนาศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม และประสานงานกับผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันการเมือง องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมและประมวลจริยธรรมให้เกิดผลเป็น รูปธรรม” (มาตรา 6 (3) (ก) พรบ.สภาพัฒนาการเมือง พ.ศ.2551) ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บทบาทของสภาพัฒนาการเมือง  จึงมิได้เป็นองค์กรแห่งการตรวจสอบหรือเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการบังคับให้ นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเนินการตามประมวลจริยธรรมที่หน่วยงาน ต่าง ๆ ของภาครัฐได้จัดทำขึ้นตามกรอบข้อเสนอค่านิยมหลัก 9 ประการของผู้ตรวจการแผ่นดิน  แต่อาศัยแนวทางการส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองและ เจ้าหน้าที่รัฐผ่านกลไกต่าง ๆ ทั้งการประสานความร่วมมือกับองค์กรสำคัญที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแล ประเด็นดังกล่าวได้แก่ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องตามแต่กรณี อย่างไรก็ตาม ด้วยวัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งสภาพัฒนาการเมือง นั่นคือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของพลเมืองตามเพื่อการพัฒนาการเมืองตามวิถี ประชาธิปไตย ดังนั้น แนวทางสำคัญประการหนึ่งของการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม นั่นคือ “การเสริมสร้างจิตสำนึกต่อสาธารณะ” ของประชาชน เพื่อพัฒนาการสู่ความเป็นพลเมือง(citizenship) ผู้ซึ่งมีสำนึก และร่วมคิดร่วมรับผิดชอบในกิจการสาธารณะหรือประเด็นปัญหาต่าง ๆ ต่อชุมชน และต่อผลประโยชน์สาธารณะ(Public Interest) โดยอาจดำเนินการเอง ดำเนินการร่วมกับรัฐ หรือ การผลักดันประเด็นเป็นเชิงนโยบายเพื่อให้รัฐดำเนินการ ทั้งนี้เนื่องจาก ตระหนักว่า การยอมรับและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารนั้น มิได้เกิดประโยชน์เฉพาะต่อประชาชนเองในเชิงของการผลักดันนโยบายหรือการได้ร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐ แต่ยังเป็นการส่งเสริมแนวคิดการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ให้แก่ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในภาครัฐได้ตระหนักถึงแนวคิดดังกล่าวโดยผ่านการ เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับภาคประชาชนผู้ซึ่งมีความเป็นพลเมืองอย่างต่อ เนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้แนวคิดผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest)  ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นคำนามธรรมที่หานิยามไม่ได้ชัด แต่ก็สามารถนำมาเป็นค่านิยมหลักพื้นฐานในการตัดสินใจใน การดำเนินกิจการ สาธารณะ และการบริหารของตนได้ว่าสิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงนั่นคือต้องเป็นไป  เพื่อประโยชน์ของประชาชน ชุมชน และ ส่วนรวมโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อความที่ถูกกำหนดไว้เป็นตัวบทกฎหมายหรือลายลักษณ์ อักษรเป็นเครื่องชี้นำการทำงานของตน  หากแต่กลายเป็นสิ่งที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกระดับ สามารถพึงตระหนักได้ทุกลมหายใจเข้าออกในการปฏิบัติหน้าที่โดยกล่าวได้ว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและผลประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง...
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, “คำประกาศแห่งเมืองแบล็กเบอร์ก: ความเคลื่อนไหวในแวดวงการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์อเมริกัน.” รัฐศาสตร์สาร 19, 2 (ธ.ค.2537) :19-45.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สมุทรสาคร : วงเวียนน้ำพุมหาชัย

ประชุมระดับจังหวัด สภาองค์กรชุมชนตำบล ครั้งที่ 2/57